วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ประวัติธงชาติไทย

ประวัติธงชาติไทย

     เสาธงคันนั้น  สูงตระหง่านเมฆ มีสายระโยงขึ้งเสาอย่างแข็งแรง บนยอดสุด ชักธงชาติปลิวสะบัดอยู่ไสว

      เสาธงคันนี้ คือเสาธงอยู่ที่ปากคลองสาน ของกรมเจ้าท่า ซึ่งถ้าใคร ๆ ผ่านไปมาก็ต้องเห็น แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่า เสาธงดังกล่าว มีประวัติความเป็นมาอย่างไร

เสาธงคันนี้  มีประวัติยืดยาวเหมือนกัน แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องเสาธง ประวัิตศาสตร์ต้นดังกล่าว จะขอเล่าถึงความเป็นมาของเรื่อง "การชักธง" เสียก่อน

      แรกทีเดียว ไทยเราไม่มีประเพณีทำเสาธง และชักธงบนบก แต่ทั้งนี้ ก็มิได้หมายความว่า เราไม่เคยรู้จักธง หรือการชักธงก็หาไม่ ความจริง เรารู้จักใช้ธง และชักธงมานานแล้ว ซึ่งท่านไปอ่านหนังสือวรรณคดีเก่า ๆ  ที่กล่าวถึง การยกทัพจับศึกดู ก็จะพบว่า กองทัพไทยในสมัยโบราณ ใช้ธงสีต่าง ๆ  ประจำกองทัพละสี ส่วนการชักธงธรรมเนียมของเราใชัชักธงแดงบนเสาใบเรือกำปั่น ที่ไปค้าขายกับต่างประเทศเพียงอย่างเดียว มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว



ธงสมัยรัชกาลที่ 1
ธงสมัยรัชกาลที่ 2
ธงสมัยรัชกาลที่ 4


      ครั้นถึงกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 2 ปรากฏว่า ในรัชกาลนี้ มีช้างเผือกเอก ถึง 3 ช้าง คือ
      "พระยาเสวตกุญชร อดิศรประเสริฐศักดิ์ เผือกเอกอรรคไอยรา มงคลพาหนะนารถ  บรมราชจักรพรรดิ วิเชียรรัตนนาเคนทร์ ชาติคเชนทรฉันทันต์ หิรัญรัศมีศรีพระนคร สุนทรลักษณเลิศฟ้า" (โปรดสังเกตชื่อนะครับ จะคล้องจองกัน ซึ่งเป็นธรรมเนียมของราชสำนัก ที่ตั้งชื่ออะไร นิยมตั้งแบบคล้องจองกัน)
      พระยาเสวตกุญชรนี้ ได้มาจากเมืองโพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา เมื่อจุลศักราช 1174 (คือ พ.ศ. 2355)
      "พระยาเสวตไอยรา บวรพาหนะนารถ อิศราราชบรมจักร ศรีสังข์ศักดิอุโบสถ คชคเชนทรชาติอากาศจารี เผือกผ่องศรีบริสุทธิ เฉลิมอยุธยา ยิ่งวิมลมิ่งมงคล จบสกลเลิศฟ้า"
      พระยาเสวตไอยรานี้ ได้มาจากเมืองเชียงใหม่ เมื่อจุลศักราช 1177 (คือ พ.ศ. 2359)
      "พระยาเสวตรคชลักษณ์  ประเสริฐศักดิ์สมบูรณ์  เกิดตระกูลสารสิบหมู่  เผือกผู้พาหนะนารถ  อิศราราชธำรง  บัณฑรพงษ์จตุรภักตร์สุรารักษ์รังสรรค์  ผ่องผิวพรรณผุดผาด  ศรีไกรลาศเลิศลบ  เฉลิมพิภพอยุทธยา  ขัณฑเสมามณฑล  มิ่งมงคลเลิศฟ้า"
      พระยาเสวตรคชลักษณ์นี้ ได้มาจากเมืองน่าน เมื่อจุลศักราช 1179 (คือ พ.ศ. 2360)
      การที่ได้ช้างเผือกเอกถึง 3 ช้าง ในรัชกาลเดียวกันนี้ ในครั้งนั้น ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน ทั้งในสยามประเทศ ตลอดจนเมืองพม่ารามัญ เมื่อครั้งกรุงเก่า ในแผ่นดิน สมเด็จพระมหาจักพรรดิ จะปรากฏว่ามีช้างเผือกถึง 7 ช้างก็จริง แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นช้างเผือกเอกกี่ช้าง
      ด้วยเหตุที่ได้ช้างเผือกเอกมาถึง 3 ช้าง ดังกล่าว  ราษฎรจึงได้พากันชื่นชมยินดี ในพระบารมีเป็นอันมาก และ พระบาทสมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ได้โปรดฯ ให้ทำรูปช้างเผือกสีขาว อยู่ในกลางวงจักรติดในธงพื้นสีแดง ใช้ชักในเรือหลวง แต่นั้นมา
      แต่เรือค้าขายของราษฎร ก็คงใช้ธงสีแดงเลี้ยงอยู่ จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4
      ในรัชกาลที่ 3  พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดธรรมเนียมฝรั่ง โปรดฯ ให้ทำเสาธงขึ้น  ณ พระราชวังเดิม อันเป็นวังที่ประทับในขณะนั้น แล้วก็ชักธงบริวารเป็นเครื่องบูชาในเวลาที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ไปทอดพระกฐิน  เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ผ่านมาทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสถามผู้ที่ตามเสด็จฯ ว่า "นั่นท่านฟ้าน้อย เอาผ้าขี้ริ้วขึ้นตากทำไม่"
      จากคำตรัสถามของพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งทรงพระนิพนธ์เรื่องนี้ ในหนังสือ "ความทรงจำ" ทรงวินิจฉัยว่า ที่มีพระราชดำรัสเช่นนี้ มิใช่เพราะพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยูหัว ไม่ทรงทราบว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าอยู่หัว ทรงทำโดยความเคารพตามธรรมเนียมฝรั่ง  แต่เป็นเพราะพระองค์ไม่โปรดฯ ในการทำเสาธง  และชักธงเอาอย่างฝรั่งต่างหาก
      ครั้นพอถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงทราบขนบะรรมเนียมฝรั่งเป็นอย่างดี มีพระราชดำรัส สั่งให้ทำเสาธงขึ้น ทั้งในวังหลวง และวังหน้า เพื่อจะชักธงตามแบบอย่างฝรั่ง คือ เสาธงวังหลวง โปรดฯ ให้ชักธงตราพระมงกุฏ ซึ่งเป็นธงประจำพระองค์ ส่วนเสาธงวังหน้า โปรดฯ ให้ชักธงจุฑามณี (ปิ่น) อันเป็นธงประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้อยู่หัว
      การตั้งเสาธง และชักธงดังกล่าว ราษฎรพากันเข้าใจว่า เป็นเครื่องหมายแห่งพระเกียรติยศของพระเจ้าแผ่นดิน
      ครั้นเมื่อไทยทำสัญญา ทางพระราชไมตรีกับฝรั่งต่างประเทศแล้ว ก็ได้มีสถานกงสุลฝรั่งประเทศต่าง ๆ  เข้ามาตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สถานกงสุลเหล่านั้น ต่างก็ทำเสาธง และชักธงชาติของตนขึ้น ตามประเพณี  ราษฎรจึงพากันตกใจ  โจษกันว่า พวกกงสุลเหล่านั้น เข้ามาแข่งพระบรมเดชานุภาพ
      ความดังกล่าวนี้ ทรงทราบถึงพระกรรณ พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรำคาญพระราชหฤทัย จึงทรงพระราชดำริหาอุบายแก้ไข  โปรดฯ ให้เจ้านาย และขุนนางข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลาย ทำเสาธง และชักธงช้างขึ้นที่ตามวัง และตามบ้าน เมื่อราษฎรเห็นมีเสาธง และชักธงกันมากก็หายตกใจ  การสร้างเสาธง และชักธง  จึงกลายเป็นของธรรมดาไป



ธงราชการ ร.ศ. 129
ธงค้าขาย ร.ศ. 129


      เมื่อมีการชักธง สำหรับพระองค์ขึ้น บนเสาธงในพระบรมมหาราชวัง ก็เป็นเครื่องหมายอีกอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ราษฎรได้ทราบว่า พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ในพระนครหรือไม่  คือถ้าประทับอยู่ก็มีการชักธง ถ้าไม่ได้ประทับอยู่ ก็ไม่ได้ชักธง
      พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า ในเวลาที่ไม่ได้ประทับอยู่ ในพระนคร แล้วปล่อยให้เสาธงว่างเปล่านั้น ไม่เป็นการสมควร พระองค์จึงโปรดฯ ให้ทำธง ไอยราพต  อย่างพระราชลัญจกรไอยราพต ประจำแผ่นดินสยาม ขึ้นมาใหม่ สำหรับใช้ชัก ในเวลาพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในพระนคร
      ส่วนธงแดง ที่เรือค้าขายของราษฎร ใช้กันมาแต่โบราณนั้น พระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นว่า เป็นธงที่ใช้ซ้ำกับธงของประเทศอื่น ซึ่งยากที่จะสังเกต พระองค์จึงโปรดฯ ให้ดัดแปลงธงที่ใช้ชักในเรือหลวง คือ ให้ยกรูปจักรออกเสีย คงเหลือแต่รูปช้างเผือก บนพื้นสีแดง สำหรับเป็นธง ให้เรือราษฎรใช้ชัก ส่วนธงที่ใช้ชักในเรือหลวง  โปรดฯ ให้ชักรูปช้างเผือกบนพื้นสีขาว เพื่อให้ต่างกันกับธงที่เรือราษฎรใช้
      ในรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ร.ศ. 110 (พ.ศ. 2434) และลงวันที่ 1 เมษายน ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) แต่ต่อมา โปรดฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นใหม่อีก ซึ่งเรียกว่า พระราชบัญญัติธง รัตนโกสินทร์ศก 118 และกำหนดให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ร.ศ. 119 เป็นต้นไป
      พระราชบัญญัติธง รัตนโกสินทร์ศก 118  ได้กำหนดลักษณะธงต่าง ๆ  ขึ้น มีธงมหาราช ธงไอยราพต  ธงราชินี ธงเยาวราช ธงราชวงษ์ ธงเรือหลวง ธงเสนาบดี ธงฉาน ธงหางแซงแซว ธงหางจระเข้ ธงผู้ใหญ่ ธงชาติ ธงนำร่อง เป็นต้น
     สำหรับ ธงมหาราช  มีลักษณะและความหมายดังนี้
      "...ธงมหาราช  พื้นนอกสีแดง ขนาดกว้าง 5 ส่วน ยาว 6 ส่วน พื้นในสีขาว ขนาดกว้าง 3 ส่วน ยาว 4 ส่วน  ที่ในพื้นสีขาวนั้น กลางเป็นรูปโล่ห์ แบ่งเป็น 3 ช่อง  ช่องบนเป็นรูปช้างไอยราพต  อยู่บนพื้นเหลือง บอกนามสยามเหนือสยามใต้ สยามกลาง ช่องล่างข้างขวาแห่งโล่ห์ เป็นรูปช้างเผือกอยู่บนพื้นชมภู หันหน้าออกไปข้างเสา เป็นนามสัญญาแห่งลาวประเทศ  ช่องซ้ายของโล่ห์ เป็นรูปกฤสคต แลตรง 2 อัน ไขว้กันอยู่บนพื้นแดง บอกนามสัญญามลายูประเทศ เบื้องบนแห่งโล่ห์นั้นมีจักรกรีไขว้กัน  แลมีมหาพิไชยมงกุฎ สวมอยู่บนจักรี แลมีเครื่องสูงเจ็ดชั้น สองข้างโล่ห์ มีแทนรองแลเครื่องสูงด้วย  รวมครบเครื่องหมายเหล่านี้ทั้งส้ิน จึงเป็นธงมหาราช  สำหรับพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จโดยกระบวนนั้น ฤๅชักขึ้นในที่แห่งใด ก็เป็นที่หมายว่า พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ประทับอยู่ที่นั้น ถ้าประทับอยู่ในเรือพระที่นั่งฤๅเรือรบแล้ว ต้องชักขึ้นบนเสาใหญ่อยู่เป็นนิตย์"
ส่วน ธงไอยราพต มีลักษณะ "...พื้นสีแดง  มีรูปช้างไอยราพต สามเศียร ทรงเครื่องยืนแท่น หันหน้าไปข้างเสา มีบุษบก ทรงอุณาโลมไว้ภายใน ตั้งอยู่บนหลัง และมีเครื่องสูงเจ็ดชั้นอยู่หน้าหลัง  ข้างละสององค์  ธงนี้ประจำแผ่นดินสยาม สำหรับชักขึ้นในพระนคร เวลาที่พระสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ประทับอยู่ในพระมหานคร"
งราชินี และธงเยาวราช  มีลักษณะดังนี้
       "ธงราชินี พื้นนอกสีแดง  ขนาดกว้าง 10 ส่วน  ยาว  15  ส่วน  ชายตัดเป็นแฉกรูปหางนกแซงแซว ลึกเพียงส่วนที่ 4 แห่งดานยาว พื้นในตัดมุมแฉกเข้ามา  ส่วนหนึ่งนั้นสีขาว  ขนาดกว้าง 6 ส่วน ยาว 8 ส่วน รูปเครื่องหมาย ที่ในพื้นสีขาว ก็เหมือนกับธงมหาราช ธงนี้ เป็นเครื่องหมาย พระองค์สมเด็จพระอรรคมเหษี สำหรับชักขึ้นบนเสาใหญ่ในเรือพระที่นั่ง อันสมเด็จพระอรรคมเหษี ได้เสด็จ  โดยพระราชอิศริยศ เป็นที่หมายให้ปรากฏว่า ได้เสด็จอยู่ในเรือลำนั้น"
ธงเยาวราช มีพื้นสีขาว ขนาดกว้าง 5 ส่วน ยาว 6 ส่วน รูปเครื่องหมายในกลางธงเหมือนอย่างธงมหาราช  เว้นแต่เครื่องสูงสองข้างโล่ห์นั้น เป็นห้าชั้น ธงนี้เป็นเครื่องหมาย ในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฏราชกุมาร สำหรับชักขึ้นบนเสาใหญ่ ในเรือพระที่นั่ง ฤๅเรือลำใดลำหนึ่ง ซึ่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช  มกุฏราชกุมารเสด็จ โดยพระอิศริยศ เป็นที่หมายให้ปรากฏว่า ได้เสด็จอยู่ในเรือลำนั้น"
      ส่วนธงชาติ  ในพระราชบัญญัติ ฉบับนี้ กำหนดลักษณพื้นธงสีแดง กลางเป็นรูปช้างเผือก หันหน้าเข้าข้างเสา สำหรับใช้ชักในเรือทั้งหลายของพ่อค้า แลของสมัญในทั่วไป  บรรดาที่เป็นชาติชาวสยาม
      สำหรับธงอื่น ๆ  เป็นต้นว่า  ธงฉาน  ธงหางแซงแซว  ธงหางจระเข้ ล้วนแต่เป็นธงที่หมายถึงนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ ทั้งสิ้น
      อนึ่ง  ในพระราชบัญญัติธงฉบับนี้ ได้กำหนดธงสำหรับสถานราชทูตไทย ในต่างประเทศไว้ด้วย  โดยให้มีลักษณะธง เป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่อง ยืนแท่นอยู่ตรงกลางธง และมีตรารูปโล่ห์ตราแผ่นดิน  มีจักรีมหามงกุฏอยู่เบื้องบน
      ส่วนเสาธงที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯให้สร้างขึ้นที่หน้าหอราชวัลลภ ซึ่งในรัชกาลที่ 5 เป็นศาลาว่าการต่างประเทศ (ปัจจุบันเป็นกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง) ในพระบรมมหาราชวังนั้น อยู่ในที่ลับตา ทำให้การชักธง  ขาดความสง่างาม ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดฯให้ย้ายเสาธงต้นนี้ ไปตั้งบนป้อมเผด็จดัสกร อันเป็นป้อมกำแพงพระบรมมหาราชวัง  ตรงกันข้ามกับศาลา ยุทธนาธิการ หรือคือกระทรวงกลาโหมเดี๋ยวนี้ และสาลหลักเมือง  ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหมาะสมกว่า  เพราะอยู่ริมกำแพง ราษฎรผ่านไปผ่านมาก็เห็น นอกจากนั้น ยังสามารถมองเห็นเสาธง และธงที่ชักได้แต่ไกลอีกด้วย
      สำหรับการชักธงสำหรับพระองค์ในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นได้ความว่าตอนเช้าชักธงขึ้นสู่ยอดเสา เวลา 2 โมงตรง ส่วนตอนเย็น ชักธงลงเวลา 6 โมงตรงของทุกวัน เวลาชักธงขึ้น ทหารที่กองรักษาการณ์ ศาลายุทธนาธิการ ทำการเป่าแตรสั้น คำนับ 3 จบ แต่เวลาชักธงลง แตรวงทหารที่กระโจม หน้าศาลายุทธนาธิการ ซึ่งทางการจัดให้มีการบรรเลงทุกเย็น ยกเว้นวันอาทิตย์ ทำการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี  แทนการเป่าแตรเดี่ยว
      เนื่องจากสมัยโน้น กรุงเทพฯ ยังแคบอยู่  ถนนหนทางก็ยังไม่มีมาก สถานรื่นรมย์ก็มีเพียงไม่กี่แห่ง พอตกเย็น ราษฎรต่างก็พากันมาฟังแตรวง ที่หน้าศาลายุทธนาธิการ  ดังกล่าวกันเป็นจำนวนมาก  ดังนั้น พอถึงเวลาชักธงลง จึงมีคนยืนทำความเคารพกันเป็นจำนวนมาก เสร็จแล้ว ต่างก็ทะยอยกันกลับบ้าน เพราะแตรวงบรรเลง เพียงแค่เวลาชักธงลงเท่านั้น
      ในรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชปรารภว่า เสาธงบนป้อมเผด็จดัสกร ออกจะเป็นการล้าสมัยแล้ว หมดความจำเป็นที่จะต้องชักธง ทำนองนี้ต่อไป เพราะได้มีการตราพระราชบัญญัติธงขึ้นใหม่แล้ว อีกประการหนึ่งพระองค์ทรงเห็นว่า ในเวลานั้นมีเรือสินค้าต่างประเทศ เข้าออกมากมายกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังไม่มีเสา เพื่อสำหรับชักธงบอกสัญญาณให้เรือเข้าออกเลยบ  ดังนั้น พระองค์ จึงโปรดฯ ให้ย้ายเสาธงต้นนี้ ไปไว้ที่ปากคลองสาน เพื่อให้ใช้เป็นประโยชน์ดังกล่าว  ดังนั้น เสาธงต้นนี้ จึงอยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า ตั้งแต่นั้นมา จนกระทั่งบัดนี้
      สำหรับพระราชบัญญัติธง ที่ตราขึ้นใหม่ในรัชกาลนี้ ก็คือกำเนิดของธงไตรรงค์ ที่ใช้เป็นธงชาติไทย ในปัจจุบันนั่นเอง
เสาธงบนป้อมเผด็จดัสกร บนกำแพง พระบรมมาหราชวัง ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับศาลหลักเมือง โปรดสังเกต ต้นมะขามที่สนามยังเล็กอยู่
ที่มา : กรุงเทพฯ ในอดีต โดยเทพชู  ทับทอง สนพ. สุขภาพใย

ธงไตรรงค์

ธงช้างเผือกเปล่าได้ใช้เป็นธงชาติสยามสืบมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2459เมื่อพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองอุทัยธานี ซึ่งขณะนั้นประสบเหตุอุทกภัย และทอดพระเนตรเห็นธงช้างของราษฎร ซึ่งตั้งใจรอรับเสด็จประดับไว้ถูกแขวนกลับหัว พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า ธงชาติต้องมีรูปแบบที่สมมาตร เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนรูปแบบธงชาติอีกครั้ง โดยเปลี่ยนเป็นธงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีแถบยาวสีแดง 3 แถบ สลับกับแถบสีขาว 2 แถบ ซึ่งเหมือนกับธงชาติไทยในปัจจุบัน แต่มีเพียงสีแดงสีเดียว
      พ.ศ.2460 แถบสีแดงตรงกลางได้เปลี่ยนเป็น"สีขาบ" หรือสีน้ำเงินเข้มเจือม่วงดังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน เหตุที่รัชกาลที่ 6 ทรงเลือกสีนี้ เพราะเป็นสีมงคลประจำวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของพระองค์ทั้งสีน้ำเงินยังแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่1เช่น ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เป็นต้นซึ่งใช้สีแดง ขาว น้ำเงินเป็นสีในธงชาติเป็นส่วนใหญ่ด้วย อีกประการหนึ่ง ธงชาติแบบใหม่นี้ได้รับพระราชทานนามว่า "ธงไตรรงค์" และอวดโฉมต่อสายตาชาวโลกครั้งแรก ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งกองทหารอาสาของไทย ได้ใช้เชิญไปเป็นธงชัยเฉลิมพลประจำหน่วย
ธงไตรรงค์ที่สร้างขึ้นในคราวนั้นไม่ใช่ลักษณะอย่างธงไตรรงค์ ตามที่กำหนดให้ใช้โดยทั่วไปแต่มีการเพิ่มรูปสัญลักษณ์พิเศษลงในธงด้วย โดยด้านหน้าธงนั้นเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่อง ยืนแท่นในวงกลมพื้นแดง ลักษณะอย่างเดียวกับธงราชนาวีไทย (ซึ่งกำหนดแบบใหม่ให้ใช้พร้อมกัน ในคราวประกาศเปลี่ยนธงชาติ) ด้านหลัง เป็นตราพระปรมาภิไธยย่อ ร.ร. ๖ ภายใต้พระมหามงกุฎเปล่งรัศมีในวงกลมพื้นแดง ที่แถบสีแดงทั้งแถบบนแถบล่างทั้งสองด้านจารึกพุทธชัยมงคลคาถา บทแรก(ภาษาบาลี) เพื่อความเป็นสิริมงคล แก่กองทหารอาสาของไทย ในสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชนิพนธ์แก้ไขในตอนท้ายจาก "ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ" (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน) เป็น "ตนฺเตชสา ภวตุ เม ชยสิทฺธินิจฺจํ" (ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยชนะจงมีแก่ข้าพเจ้าเสมอ)
      พ.ศ. 2470 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริว่า ธงชาติไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งแล้ว ควรหาข้อกำหนดเรื่องธงชาติให้เป็นการถาวร จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชบรรทึก พระราชทานไปยังองคมนตรี เพื่อให้เสนอความเห็นของคนหมู่มากว่า จะคงใช้ธงไตรรงค์ดังที่ใช้อยู่เป็นธงชาติต่อไป หรือจะกลับไปใช้ธงช้างแทน หรือจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงลักษณะธงชาติ กับวิธีใช้ธงไตรรงค์อย่างไร[11] ผลปรากฏว่าความเห็นขององคมนตรีแตกต่างกระจายกันมาก จึงมิได้กราบบังคมทูลข้อชี้ขาดดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีพระบรมราชวินิจฉัยลงวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2470 ให้คงใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติต่อไป
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพ.ศ.2475 รัฐบาลต่างๆ ยังคงรับรองให้ใช้ธงไตรรงค์เป็นธงชาติอยู่เช่นเดิม จนถึงปัจจุบันโดยมีการออกพระราชบัญญัติธงฉบับพ.ศ. 2479 และฉบับพ.ศ. 2522 เป็นกฎหมายรับรองฐานะของธงไตรรงค์ 




ขอบคุณแหล่งที่มา : http://allknowledges.tripod.com/thaiflag.html

ความหมายของดอกไม้แต่ละชนิดในวันวาเลนไทน์

            วันวาเลนไทน์ทั้งที คุณผู้ชายถึงชอบซื้อแต่ดอกไม้ให้ผู้หญิงกันนะ คุณผู้หญิงเคยสงสัยกันบ้างมั๊ยล่ะคะ ถ้าสงสัยกันอยู่ ก็เลิกสงสัยกันได้แล้วล่ะคะ ก็เพราะว่าดอกไม้นั้นเป็นตัวแทนของความสวย ความงาม และความอ่อนโยน เปรียบประดุจผู้หญิงได้ดั่งกับดอกไม้ ที่มีทั้งความงามและความน่ารักอยู่ภายในตัวเอง ถึงจะเป็นแค่ดอกไม้ แต่คุณรู้หรือเปล่าว่า ดอกไม้เหล่านี้ล้วนแต่สื่อความหมายและแทนความรักได้หลากหลายรูปแบบ และแตกต่างกันไปตามโอกาส และบุคคลที่เราอยากจะให้ได้ด้วย มาดูกันดีกว่าว่าดอกไม้แต่ละประเภทสื่อความหมาย แทนใจว่าอย่างไรกันบ้าง



          ดอกกุหลาบสีแดง เป็นเบสิคที่นิยมให้กันในวันวาเลนไทน์ จนเป็นดอกไม้แทนสัญญาลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ไปซะแล้ว ถ้าคุณได้รับดอกกุหลาบสีแดงสดๆร้อนๆ หมายถึง ความรักอันลึกซึ้งและจริงจัง ถ้าชายหนุ่มคนใดมอบดอกกุหลาบแดงให้แก่หญิงสาว สื่อความหมายแสดงถึงมีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน หรืออีกนัยหนึ่งคือ ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของคิวปิดและอีรอส ( กามเทพหรือเทพแห่งความรัก ) นั่นเอง เป็นสิ่งที่จะนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ










 ดอกกุหลาบสีชมพู  เป็นดอกกุหลาบเหมือนกัน แต่ความหมายของสีแตกต่างการอย่างสิ้นเชิง ถ้าคุณได้รับดอกกุหลาบสีชมพู 
มักใช้แทนความรักแบบสนิท เสน่หาและโรแมนติก การให้กุหลาบสีชมพูต่อคู่รัก สื่อให้เห็นว่าความรักเริ่มเจริญงอกงาม และกำลังจะพัฒนาไปสู่ความลึกซึ้งจริงจัง หรืออีกนัยหนึ่ง คือ "ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด"










ดอกกุหลาบสีเหลือง สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส กุหลาบสีเหลืองมักถูกใช้แทนความรัก ความปรารถนาดี เช่น ใช้เยี่ยมผู้ป่วย เพื่อช่วยเพิ่มความสดชื่นแจ่มใสให้กับผู้ป่วย และยังบ่งบอกถึง ความอ่อนหวาน สดชื่น กระปี้กระปร่า ฯลฯ











ดอกกุหลาบสีม่วง เป็นสีดอกกุหลาบแสดงถึงความเศร้า แต่ในอีกด้านก็แสดงถึงความอดทน มุ่งมั่น และไม่ย่อท้อ ถ้าคุณได้รับกุหลาบสีนี้ แสดงว่าคนที่มาจีบคุณ เป็นคนอ่อนไหว และบางครั้งเขาก็จะสร้างความสุขให้กับคุณได้เต็มที่













ดอกกุหลาบสีขาว สีขาวเป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ ความมีเสน่ห์ และความเงียบสงบ กุหลาบขาวจึงแทนความหมายแห่งความรักที่บริสุทธิ์ ให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ดังนั้น เราจึงสามารถให้ดอกกุหลาบสีขาวกับพ่อแม่ เพื่อน หรือคนที่เรารู้สึกดีด้วยอย่างบริสุทธิ์ใจได้ และจะเป็นสิ่งที่นำโชคมาสู่ผู้ที่ได้รับเช่นเดียวกับกุหลาบแดง















ดอกทิวลิป เป็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมให้กันมากไม่แพ้กุหลาบเลยทีเดียว ทิวลิปมีต้นกำเนิดมาจากแทบยุโรป เช่น ฮอลแลนด์และตุรกี และความหมายก็สื่อแสดงออกถึงความรัก ความจริงใจเช่นเดียวกัน แต่ดอกทิวลิปนั้น จะแสดงออกถึงความรักที่ร้อนแรงและเปิดเผยไปสักหน่อย คุณจึงต้องเตรียมตัวรับมือกับความรักที่ร้อนแรง และเปิดเผยไว้ให้ดีถ้าใครให้ดอกทิวลิปกับคุณ













ดอกลิลลี่ 
ได้ชื่อว่าเป็นดอกไม้แห่งเจ้าหญิง ชื่อภาษาอังกฤษใช้ว่า Lily แต่ถ้าเป็นชื่อทางวิชาการก็จะเรียกว่า Lilium hybrids ลิลลี่เป็นพืชประเภทที่มีหัวอยู่ใต้ดินเช่นเดียวกับดอกทิวลิป แต่ที่ดูจะเหนือกว่าก็คือดอกลิลลี่มีกลิ่นหอมซึ่งดอกทิวลิปไม่มี ส่วนความหมายก็คือ แสดงออกถึงการค้นหาความรักที่ดีที่สุดแล้วพบเจอมัน  เป็นดอกไม้ที่ผสมผสานอารมณ์ของความรักได้ อย่างลงตัว สื่อถึงความรักความจริงใจที่มีต่อคนรับ











ดอกทานตะวัน เป็นสัญญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม ถ้าได้รับดอกทานตะวันเหมือนได้รับสารว่า "แม้เธอจะเย่อหยิ่งเพียงไร แต่สักวันฉันจะชนะใจเธอ" และยังหมายถึง "รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์"




ดอกซากุระ หรือ พญาเสือโคร่ง ในเมืองไทยการให้ดอกไม้ชนิดนี้ถือว่ายังแปลกๆอยู่ แต่ในเกาหลีและญี่ปุ่น การให้ดอกซากุระเป็นช่อๆมัดเป็นกำๆ แสดงถึงว่า "ความรักกำลังเบ่งบาน" หรือสื่อถึงว่า คู่เราสร้างความรักจากคนธรรมดาจนกลายเป็นคนรักได้ต้องใช้เวลาและความจริงใจที่มีต่อกัน และก็กำลังจะเบ่งบานเป็นความรักที่สวยงามอันยิ่งใหญ่ดุจดัง ดอกซากุระ











ดอกคาร์เนชั่น เป็นสัญลักษณ์ของหัวใจที่แตกสลาย ถ้าได้รับดอกคาร์เนชั่นจากผู้ใด แสดงว่าผู้ให้ต้องการบอกว่าถูกผู้รับหักอกจนใจสลายแล้ว ("แด่หัวใจที่น่าสงสารของฉัน" หรือ "หัวใจที่แห้งเหี่ยว")








ดอกลาเวนเดอร์ ลาเวนเดอร์มักจะสื่อถึงความสงบ และมีการเชื่อมโยงกลิ่นของดอกลาเวนเดอร์เข้ากับความรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย ส่วนดอกลาเวนเดอร์นั้นสามารถสื่อถึงความรุ่งโรจน์ที่มาพร้อมกับความสำเร็จและการบรรลุผล เวลาที่มอบช่อดอกลาเวนเดอร์ให้ใคร ก็จะหมายถึงการอวยพรให้ประสบความสำเร็จ เมื่อนำมาประดับไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าบ้าน สีม่วงหรือดอกลาเวนเดอร์ก็จะสื่อถึงโชคลาภขนานใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความเจริญรุ่งเรืองและการบรรลุเป้าหมาย  









ดอกบัว ถ้าคุณได้รับดอกบัวจากคนรักแล้วล่ะก็ จะมีความหมายที่ว่า "รักแบบให้ความเคารพ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นดอกไม้แทนความสงบและความบริสุทธิ์ใจ จึงเป็น “รักด้วยความศรัทธาและชื่นชม”









ดอกมะลิ ปกติดอกมะลินั้นแสดงถึง "รักแม่" ใช่ไหมค่ะ แต่เราเอามามอบให้ในวันวาเลนไทน์ก็ได้ค่ะ ในเมื่อมันก็เป็นดอกไม้เหมือนกัน ส่วนความหมายก็ไม่แตกต่างจากความเป็น "คนที่รักเรา" ถ้าคุณได้รับดอกมะลิในวันวาเลนไทน์ แสดงว่า เขายังเห็นคุณเป็นแค่เด็ก ยังเห็นว่าเธอดูแลตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจะดูแลคุณได้ดีมากๆ แทคแคร์จนเธออยากจะหนี รักและจริงใจเธอไม่ต่างจากแม่หรือผู้ปกครองเลยทีเดียว หรือเรียกสั้นๆว่า " รักนะเด็กโง่ " อิๆๆ






ดอกกล้วยไม้ ถ้าเขามอบดอกกล้วยไม้ให้คุณ จะมีความหมายที่ว่า“ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้” พูดง่ายๆก็คือ ถึงเขาจะจีบเธอยังไงเธอก็ต้องสวมบทเล่นตัวเป็นธรรมดา แต่คุณอย่าประมาทนะค่ะ คนๆนี้จะไม่มีวันเลิกความตั้งใจที่จะจีบเธอจนกว่าใจจะอ่อน เหนื่อยใจหน่อยนะคุณสาวๆ เพราะเขาเป็นคนประเภทที่ว่า "จะได้อะไรต้องทำให้ได้" คิๆๆ











ช็อคโกแลต อิๆๆ ช็อคโกแลตแสนอร่อยและกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่เคียงข้างไปกับ
ดอกกุหลาบช่อโตสำหรับของขวัญวันวาเลนไทน์ ( Valentine's Day) จากคนรักสู่คนรักนั้น มีความเป็นมาอย่างไร ประวัติยาวไกลหลายหมื่นลี้ค่ะ มีมานานมากแล้ว ถ้าเปรียบเทียบแบบไทยๆ เราก็คงเรียกว่า ตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาโน่นเลยแหละค่ะ การให้ "ช็อคโกแลต" นั้นก็แสดงว่า "ความรักเราจะยืนยาวและยังคงความหวานตลอดไป" เพราะฉะนั้นถ้าสาวใดได้ช็อคโกแลตในวันวาเลนไทน์ ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ เพราะคนที่ให้เขาแสดงจริงใจกับคุณจริงๆ เรียกได้ว่ารักคุณจนหมดหัวใจ ขนาดที่ว่า หวานจนน้ำตาลเรียกพี่เลยค่ะ 







ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.postjung.com/




       ยังไงก็ขอให้คู่รักทุกคู่ มีความสุขในวันวาเลนไทน์ด้วยนะค่ะ ขอให้รักกันนานๆ ส่วนคนที่โสดก็ขอให้พบคนรักเร็วๆนี้ด้วยค่ะ ขอให้สมหวังนะค่ะ สวัสดีค่ะ




วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

โรคฮิต ชีวิตติดออนไลน์




          "อยู่ดี ๆ รู้สึกแสบตา ปวดหัว ปวดร้าวที่ไหล่ ไปจนถึงข้อมือ หรือแม้แต่ผิวหน้าคล้ำขึ้น ไปจนถึงเป็นหวัดคัดจมูก ผื่นผิวหนัง และหมดสติได้" โรคเหล่านี้อาจไม่ร้ายแรง แต่ให้ความรู้สึกรำคาญไม่สบายตัวแบบนี้กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความฮอตฮิตของกระแสคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ที่นับวันยิ่งดึงดูดให้คนมี "ชีวิตติดจอ" มากและนานยิ่งขึ้น ซึ่งหากไม่ระวังโรครำคาญเหล่านี้อาจกลายเป็นโรคบั่นทอน จนทำให้ต้องเสียเวลาและเงินทองมากมายจนไม่รู้ตัว
ในสังคมไทยเวลานี้ โดยเฉพาะโลกของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ หากมองไปรอบ ๆ ตัวคุณจะเห็นว่าเพื่อนหลายคน นอกจากมีภาระหน้าที่ต้องทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างน้อยใช้เวลาวันละ 8 ชั่วโมงแล้ว หลายคนยังมีโลกส่วนตัวกับคอมพิวเตอร์ในสังคมออนไลน์ อย่างที่เรามักได้ยินบทสนทนาของเพื่อน เช่น "ตื่นมาขอเข้าไปดูว่าเพื่อนโพสรูปอะไร จะได้เม้นท์ หรือเข้าไปเก็บผัก ขโมยผักเพื่อน แต่งบ้าน ทำร้านอาหารก่อนดีกว่า" เป็นพฤติกรรมของหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ "ออนไลน์เล่นเกม และคุยกับเพื่อน" ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือ social networking กันมากขึ้น จนหลายคนอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวันทั้งคืน หรือถึงขั้นหลับคาจอก็เกิดขึ้นมาแล้วกับหลายคน
คนไทยในวัยทำงานเฉลี่ยอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมเมื่อ 4-5 ปีก่อนใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมง เท่านั้น แต่ปัจจุบันเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 8-10 ชั่วโมง สิ่งที่น่าสนใจคือเกือบครึ่งหนึ่งของการใช้งาน หมดไปกับการเล่นเกม การแชทออนไลน์ และล่าสุดกับการเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น facebook หรือ hi5 เว็บที่ให้ทุกคนทั่วไปเปิดโพสต์รูปแสดงความเห็นกันอย่างสะดวก และล่าสุดกับ twitter ที่เปิดให้ทุกคนเข้าไปเขียนข้อความสั้น ๆ ไม่เกิน 140 ตัวอักษร ว่าทำอะไร อยู่ที่ไหน คิดอะไรอยู่ จนกลายเป็นกิจกรรมที่ทำให้หลายคนมีความสุข คลายเหงา และมีเพื่อนมากขึ้น แต่ข้อดีมักมีข้อเสียตามมา เพราะการนั้งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ แบบไม่ระวังอาจกระหน่ำซ้ำเดิมให้ร่ายกายเจ็บป่วยขึ้นมาได้
น.พ. ศักดา อาจองค์ อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ถ่ายทอดให้เห็นภาพของอาการป่วยต่าง ๆ ไว้ดังนี้

ดวงตาที่น่าสงสาร
ลองสังเกตตัวเองกันดูว่าขณะที่ดูคอมพิวเตอร์ ท่องเน็ตอย่างเมามันส์ หน้าจอต่าง ๆ เปลี่ยนไปตามนิ้วที่คลิกเมาส์ผ่านไปแล้วสิบหน้าจนถึงร้อยหน้า แต่ตาเรากระพริบไปแล้วแค่กี่ที..... หลายคนเข้าข่ายจ้องจนลืมกระพริบ สวนทางกลับความต้องการของร่างกาย ที่ต้องพระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อนรักษาความชุ่มชื้นของนัยน์ตา พฤติกรรมนี้ทำให้เกิดอาการที่แบ่งได้คร่าว ๆ คือ
1. ตาแห้ง จากความชุ่มชื้นนัยน์ตาหายไป เพราะโดยธรรมชาติของคนเราจะกระพริบตาบ่อย ๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของตา
2. ตาอักเสบ
3. ตาเสื่อม ซึ่งเหมือนกับส่วนอื่น ๆ ของร่างกายที่เสื่อมลงเพราะความเหน็ดเหนื่อยมานาน
4. เกิดรอยคล้ำรอบดวงตา มีรอยบวมเห็นเป็นถุงใต้ตา
5. ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อตา ปวดกระบอกตา และปวดศีรษะตามมาในที่สุด
หลังจากเกิดความเจ็บป่วยเหล่านี้แล้ว ก็คือรักษาตามอาการ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามมามากมาย ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ นพ. ศักดาแนะนำคือ วิธีการป้องกัน ที่ง่ายที่สุดคือการไม่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานเกินไป การกระพริบตาเพื่อรักษาความชุ่มชื้น โดยระพึงเสมอว่า ความเพลิดเพลินที่หน้าจออินเทอร์เน็ตของเว็บต่าง ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนเราไม่เบื่อ และเกิดความเพลิดเพลิน เราต้องไม่ลืมตัวจนจ้องหน้าจนนานจนเกินไป
คลื่นแรง อันตรายก็มา
รังสีและคลื่นจากจอคอมพิวเตอร์แม้จะอยูในระดับที่ปลอดภัย แต่ถ้าใช้งานจนเกินไป อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้ หลายคนคงสังเกตได้ด้วยตัวเองจากผลกระทบเฉพาะหน้า คือหลายคนหน้าแดง คล้ำขึ้นหลังจากอยู่หน้าจอนาน ๆ ถึงขั้นมีการแนะนำกันว่าควรทาครีมกันแดดก่อนอยู่หน้าจอเสียด้วยซ้ำ เพื่อป้องกันแสงจากจอมีรังสีอัลตราไวโอเลตออกมากระทบผู้ใช้งานโดยตรง
นอกจากนี้ยังมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ่้าที่แพทย์แนะนำว่าผู้ที่ติดตั้งท้องในช่วง 3 เดือนแรกควรหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าคอมพิวเตออร์นาน ๆ เพราะอาจส่งผลต่อเด็กในครรภ์ให้เติบโตผิดปกติ แม้จะยังไม่มีผลพิสูจน์แต่ป้องกันไว้ก่อนจะดีกว่า

ปวดตั้งแต่หัว ไปถึงนิ้วมือ
ท่านั่งไม่ถูกต้อง เช่น จอต่ำหรือสูงเกินไป แป้นพิมพ์วางไม่สมดุล ระยะของจอกับระดับสายตาไม่เหมาะสม ผลก็คือทำให้ปวดตั้งแต่กล้ามเนื้อคอ ปวดแขน จนมาถึงข้อมือและนิ้วมือ เพราะเอ็นที่ยึดส่วนต่าง ๆ ของมือทำงานหนัก จนทำให้เกิดความเมื่อยล้า และเจ็บปวด วิธีการแก้ปัญหาคือการพักการใช้มือ ส่วนใหญ่พบว่าเมื่อหยุดการใช้งานอาการจะดีขึ้น หากมีอาการหนักขึ้น คือต้องผ่าตัดข้อมือ
นั่งนานอาจหมดสติ
การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานต่อเนื่องยาวนาน อาจทำหมดสติได้ เพราะโรคลิ่มเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดดำ คล้าย ๆ กับอาการของคนที่นั่งเครื่องบินนาน ๆ ในชั้นประหยัด ที่เคยได้ยินกันว่าเป็นโรค economy class syndrome เช่น มีกรณีที่เกิดขึ้นกับหนุ่มวัย 32 ปี ที่อยู่หน้าจอนานถึงวันละ 18 ชั่วโมง เกิดอาการโคม่า เพราะอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน ที่บริเวณขา ก่อนแตกกระจายเดินทางไปยังปอดทั้งสองข้าง และส่งผลมายังหัวใจ แม้จะยังไม่ได้พิสูจน์ว่าโคม่าเพราะสาเหตนี้หรือไม่ แต่ก็เป็นอันตรายที่ต้องระวัง โดยให้สังเกตอาการเริ่มต้นจากขาที่เริ่มบวมก่อน ส่วนกลุ่มเสี่ยงคือผู้ที่มีอาการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ผู้ที่อายุมาก และอ้วน
คอมเราเองก็แพร่เชื่อได้
หลายคนอาจคิดว่าการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่บ้าน คงไม่เกิดโรคภัยติดต่อทางร่างกายได้ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ใช้คอมพิวเตอร์ของสาธารณะ หรืออินเทอร์เน็ตคาเฟ่ ที่กลุ่มนั้นมักได้รับการติดต่อจากโรคตั้งแต่หวัดจนถึงผิวหนังเชื้อรา แต่ความจริงแล้ว คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ที่บ้าน หลายคนเป็นภูมิแพ้โดยไม่รู้ตัว เพราะฝุ่นที่จับอยู่บริเวณเครื่้องจำนวนมาก
สาเหตุมาจากเมื่อคอมพิวเตอร์ทำงาน จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ทำให้ดูดฝุ่นละอองมาเกาะจำนวนมาก หลักการทำงานคล้ายกับเครื่องฟอกอากาศ ซึ่งหากเราจะสังเกตดูจะพบว่าหลังจอคอมพิวเตอร์หรือทีวี มักมีฝุ่นตกอยู่จำนวนมาก นั่นเพราะแรงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ดูดฝุ่นตกลงมา หากสะสมไปนาน ๆ ผลก็คือทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ฝุ่นได้ในที่สุด
อย่างที่ว่าแม้คอมพิวเตอร์จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโลกวิทยาการ ทำให้ชีวิตมนุษย์สะดวกสบายมากขึ้นทั้งในแง่ของการทำงานและชีวิตประจำวัน แต่หากเราไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และปล่อยให้เทคโนโลยีครอบงำ จนกลายเป็นทาสคอมพิวเตอร์แล้ว ผลสุดท้ายก็จะเป็นดังเช่นตัวอย่างของอาหารเจ็บป่วยที่ร่างกายของเราเองต้อง รับผล ซึ่งมาจากการกระทำของเรานั่นเอง ทั้งๆ ที่ทั้งหมดนี้สามารถป้องกันได้
อย่าลืมว่าเด็ก ๆ คือเยาวชนของชาติ และคนที่จะสร้างเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุนภาพได้นั้นคือพ่อแม่ทุกคนนั้นเอง เพราะฉะนั้นคอมพิวเตอร์ควรเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมความรู้ให้ลูกหลานของเรา มากกว่า มาเป็นเพื่อนหรือผู้ปกครองแทนเรากันดีกว่า

เด็กติดคอม โตช้า
คอมพิวเตอร์กับเด็กเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง หากเด็กใช้คอมพิวเอตร์นานเกินไปและอยู่กับเนื้อหาของคอมเตอร์ที่ไม่เหาะสม ซึ่งไม่เพียงแต่เรื่องของภัยทางสังคมที่น่ากลัวเท่านั้น แต่พัฒนาการทางร่างกายของเด็กยังเป็นสิ่งที่น่ากังวล
ด้านจิตใจ เด็กกับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กันด้วยเกม การที่เด็กเล่นเกมนาน จะส่งผลต่อทักษะในการปฏิสัมพันธ์กับสังคมรอบข้าง เพราะจะทำให้เด็กหมกหมุ่นขาดทักษะในเชิงความคิดรวบยอดและไม่ชอบการเข้าสังคม รวมถึงทักษะในการใช้ภาษาโดยเฉพาะในปัจจุบันที่เด็กแซท และเข้าสู่เครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งมีภาษาที่หลากหลายและผิดเพี้ยนจากภาษาพูดมากมายหรือบางคนอาจเกิดปัญหา พูดช้า
ด้านร่างกาย การที่เด็กอยู๋กับคอมพิวเตอร์ เมาส์ คีบอร์ดเป็นเวลานาน อาจได้ในการพฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็ก เช่นนิ้วมือ แต่จะทำให้ขาดการพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ขา เพราะเด็กไม่ได้เล่นออกกำลังกาย การกระโดด ปื่นป่าย ส่งผล ต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เด็กบางคนยังมีผลกลายเป็นเด็กอ้วนอีกด้วย

วิธีหนีโรคคอมพิวเตอร์
1. การใช้งานคอมพิวเตอร์ 1-2 ชั่วโมง ควรหยุดพัก 10-15 นาที ทั้งหลับตา มองต้นไม้ บริหารดวงตาด้วยการกลอกตาเป็นวงกลม 5-6 รอบ ใช้นิ้วนางแตะหัวตาแต่ละข้าง คลึง กดจุด 1-2 วินาที
2. ตั้งจอคอมพิวเตอร์ห่างจากสายตา 20-24 นิ้ว ระดับต่ำกว่าสายตาเล็กน้อย เพื่อลดการตกของจุดรวมแสง ส่วนความสว่างควรอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าของแสงแวดล้อม
3.จัดท่านั่งให้ถูกต้อง เช่น เวลาพิมพ์ข้อศอกกับคีย์บอร์ดอยู่ในระดับเดียวกัน ขาสองข้างวางเรียบกับพื้น นั่งตัวตรง อย่าให้ข้อมือโก่ง โค้งผิดปกติ เวลาใช้เมาส์ตัวอักษรที่เล็กที่สุดที่คุณสามารถอ่านได้ ใช้ตัวอักษรสีดำ บนพื้นสีขาวเป็นหลัก หลีกเลี่ยงพื้นสีเข้ม
4. ควรออกกำลังกาย เช่น กำมือ คลายมือ นวดไหล่ ต้นคอ ยืดแขน ลุกขึ้นยืนขยับตัวเป็นระยะ ๆ
5. หมั่นทำความสะอาดปัดฝุ่น เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค

5 พฤติกรรมบอกว่าคุณติดอินเตอร์เน็ตเข้าแล้ว
1.นั่งๆ อยู่ ก็รู้สึกอยากออนไลน์ทั้งที่มีงาน มีภารกิจอื่นที่ต้องทำ
2.อยากหยุด หรืออยากลดการใช้อินเตอร์เน็ตแต่ก็ทำไม่ได้สักที และบางทีถึงขั้นหงุดหงิด ซึมเศร้า โมโห เมื่อหยุดใช้อินเตอร์เน็ต (ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องใช้)
3.ออนไลน์นานเกินกว่าความตั้งใจเมื่อเริ่มเล่นตอนแรก
4.ความสัมพันธ์กับครอบครัว หรือกับเพื่อนบางคน บางกลุ่มลดลง
5.เมื่อรู้สึกเศร้า ผิดหวัง ท้อแท้ มักออนไลน์เพื่่อหนีปัญหา หรือปลดปล่อยความรู้สึกเหล่านั้น


ขอบคุณแหล่งที่มา : http://women.sanook.com/

เส้นเลือดในสมองแตก โรคร้ายที่มาแบบไม่ตั้งตัว

         สมัยนี้ โรคภัยไข้เจ็บ มาไว ไปไวแบบไม่ทันรู้ตัว  วันนี้ยังคุยกันร่าเริงอยู่ดีๆ วันรุ่งขึ้นโรคร้ายคุกคาม  ถึงขนาดอาจคร่าชีวิตของคุณไปอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวเลยก็ได้  เช่นเดียวกับ "อัญชลี ศิระฉายา" หรือชื่อในการแสดงว่า "อรัญญา นามวงศ์"  อดีตนางเอกยอดนิยมคน  และรองนางสาวไทยในปี พ.ศ. 2508  ที่ล่าสุดมีรายงานข่าวว่า อรัญญา นามวงศ์ นักแสดงรุ่นใหญ่ "เส้นเลือดในสมองแตกกระทันหัน" 
ถูกหามส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กลางดึกของคืนวานนี้(7 ก.ย.) เนื่องจากมีอาการปวดหัวอย่างกะทันหัน ทั้งนี้แพทย์ได้เปิดเผยว่า หลังทำการตรวจเช็คสมองของดารารุ่นใหญ่แล้ว พบว่าเส้นเลือดในสมองมีเลือดซึมออกมา แต่ยังดีที่เจ้าตัวยังมีสติ และยังสามารถพูดได้อยู่ ถึงอย่างไรก็ตามยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ 48 ชั่วโมง



โรคเส้นเลือดในสมองแตก
เส้นเลือดในสมองแตก คืออาการที่หลอดเลือดในสมองฉีกขาด จึงทำให้เลือดออกในสมอง ซึ่งส่งผลให้เสียชีวิตได้ ซึ่งสาเหตุเกิดจากความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นความผิดปกติของเส้นเลือด ที่ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดไปยังไต และอวัยวะทั่วร่างกาย ซึ่งผนังหลอดเลือดขยายตัวหนาขึ้นทำให้หลอดเลือดมีขนาดแคบลง จึงทำให้ปริมาณเลือดที่ลำเลียงไปที่ไตมีน้อยลงและทำให้ส่วนประกอบที่อยู่ใน ไตที่เรียกว่า เร็นนิน เกิดการเพิ่มความดันในเลือดให้สูงขึ้น ทางการแพทย์เรียกโรคนี้ว่า โรคความดันโลหิตสูงจากหลอดเลือดไต

อาการของโรคเส้นเลือดในสมองแตก
อาการของเส้นเลือดในสมองแตกจากความดันสูงมักพบว่าผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะแต่บาง รายอาจไม่มีก็ได้ คลื่นไส้ อาเจียน อาจหมดสติหรือระดับความรู้สึกตัว แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง พูดไม่ชัดหรือถ้าเกิดในสมองเด่นทำให้พูดไม่ได้ อาการและอาการแสดงจะขึ้นกับขนาดของก้อนเลือด และอาการจะเป็นขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉียบพลัน ผู้ป่วยบางรายอาจมีเส้นเลือดแตกก่อนแล้วล้มลงทำให้เข้าใจผิดว่าเลือดออกจาก ศีรษะกระแทกพื้น
อาการมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน ผู้ป่วยจึงควรสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิด!
โรคเส้นเลือดในสมองแตก ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ทางระบบประสาท ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการอย่างเฉียบพลันทันทีทันใด แต่กลับใช้เวลาในการฟื้นตัวค่อนข้างนาน ซึ่งหากได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วตั้งแต่แรก จะสามารถลดอัตราการตายและพิการลงได้มาก หรือสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติได้ โดยหลอดเลือดในสมองแตกสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
1.เส้นเลือดแตกในเนื้อสมอง มีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางระบบประสาทขึ้นมาทันที เนื่องจากเลือดที่ออกจะไปกดเบียดเนื้อสมอง ทำให้สมองทำงานผิดปกติ และนอกจากนี้ยังเกิดความดันในโพรงกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยมักเกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ถ้ามีเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก หรือเลือดออกในก้านสมอง ผู้ป่วยอาจหมดสติ หรือเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
2.เส้นเลือดแตกในชั้นเยื่อหุ้มสมอง สาเหตุมักเกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดสมองบริเวณฐานกะโหลกศีรษะ เมื่อมีเลือดออกในทันทีทันใด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บางคนอาจหมดสติ หรือเสียชีวิตได้ตั้งแต่ระยะแรก จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน


รู้ทันปัจจัยเสี่ยงเลี่ยงโรคเส้นเลือดในสมองแตก
ความน่ากลัวของโรคเส้นเลือดในสมองแตก คือวันนี้คุณอาจพูดคุย หรือทะเลาะกับใครต่อใครได้ เดินวิ่ง ทำอะไรด้วยตัวเองได้ แต่วันพรุ่งนี้อาจต้องทนทรมานกับการเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต แขนขาอ่อนแรง มีลมหายใจแต่ไร้ความรู้สึก ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ซึ่งไม่อาจทราบได้ว่าอนาคตจะหาย หรือต้องรอความตายอย่างช้าๆ
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การทำงานหนัก ละเลยการออกกำลังกาย บริโภคแต่สิ่งที่ชอบแต่ไร้ประโยชน์ ความอ้วน ความเครียด สูบบุหรี่ ดื่มสุรา การใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ และส่วนหนึ่งมาจากโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งส่งผลให้เกิดเส้นเลือดในสมองแตกได้
เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ แต่หากปล่อยปละละเลยก็จะค่อยๆ สะสมโดยไม่รู้ตัว รู้ตัวก็ต่อเมื่อปรากฏอาการรุนแรงจนสายเกินแก้เสียแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งอาจมาจากปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น อายุที่สูงวัยขึ้น พันธุกรรม เชื้อชาติ เป็นต้น

สัญญาณเตือนโรคเส้นเลือดสมองแตก
อาการส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ป่วยถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล คือ มีอาการแขนขาอ่อนแรง อาจเป็นซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย บางคนหน้าเบี้ยว หรืออาจมาด้วยอาการชา ตาอาจจะมองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นข้างหนึ่ง หรือมองเห็นแค่ครึ่งหนึ่งของตาแต่ละข้างก็ได้ มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเฉียบพลัน หรือเวียนศีรษะ อาเจียน อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการพูด ซึมลง หรือหมดสติ มีอาการชัก ซึ่งผู้ป่วยอาจมีอาการได้หลายๆ รูปแบบ แล้วแต่ตำแหน่งของสมองที่มีการขาดเลือด หรือมีเลือดออกในสมอง
แต่ปัญหาส่วนใหญ่ของคนไทยที่พบ คือ รอจนโรคเป็นมากแล้วค่อยไปหาหมอ ทำให้กว่าจะถึงมือหมอผู้ป่วยก็เป็นอัมพาตไปแล้ว ลองถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองดูว่า คุณหรือคนใกล้ชิดมีอาการเหล่านี้บ่อยๆ หรือไม่
- มีอาการปวดหัวในตอนเช้าบ้างหรือไม่
- เคยรู้สึกว่าแขนไม่มีแรงบ้างหรือไม่
- เคยรู้สึกตาพร่ามัวบ้างหรือไม่
หากพบว่าคนใกล้ชิดมีอาการน่าสงสัยว่าอาจเกิดโรคเส้นเลือดสมอง ให้ลองทดสอบผู้ป่วยโดยให้ผู้ป่วยปฏิบัติ 3 ข้อ เรียกย่อๆ ว่า STR ดังต่อไปนี้
S: (Smile) ให้ผู้ป่วยยิ้ม
T: (Talk) ให้ผู้ป่วยพูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
R: (Raise) ให้ผู้ป่วย (ยก) ชูแขนสองข้างขึ้น
อาการ อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม คือ ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออกมา ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่าส่ออาการอันตรายแล้ว
โรคหลอดเลือดสมองแตก อาจฟังดูน่ากลัว แต่สามารถป้องกันได้ หันมาเอาใจใส่สุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้มากขึ้น ตรวจสุขภาพประจำปี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก กินผักและผลไม้ทุกวัน งดบุหรี่เลิกเหล้า รู้จักปล่อยวาง ไม่ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเครียด ทำตัวให้ผ่อนคลาย เดินทางสายกลางดีที่สุด แล้วคุณก็จะหลุดพ้นจากโรคหลอดเลือดสมองแตกได้อย่างแน่นอน
พยายามเป็นคนช่างสังเกตกับอาการผิดปกติ แม้จะเล็กๆ น้อยๆ ในร่างกายของเราหรือคนใกล้เคียง โรคร้ายหรือรุนแรงบางอย่างอาจจะแก้ไขได้ ที่เป็นหนักก็จะได้เบาบางลง โรครุนแรงหลายโรคส่วนใหญ่ป้องกันได้ ถ้าเรารู้เสียแต่เนิ่นๆ

ขอบคุณแหล่งที่มา : http://women.sanook.com/

ผู้หญิงควรอ่าน !!


      มาร์คหน้า กับ ขัดหน้า อย่างไหนดีกว่ากัน ???
เคย สงสัยกันบ้างหรือไม่ ว่าการดูแลผิวหน้าด้วยวิธีการมาร์ค ขัดหน้า วิธีการไหนจะดูแลผิวหน้าเราได้ดีกว่ากัน และวิธีการแบบไหนจะเหมาะกับผิวหน้าเราที่สุด
ถ้านึกถึงเรื่องของการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว วิธีการที่ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นการขัดหน้าซึ่งปกติคนเราจะมีการสร้างเซลล์ใหม่ทุก 28 วัน และเซลล์เก่าก็จะไปอยู่ที่ผิวหนังชั้นนอกรอการหลุดลอก ถ้าหากไม่ยอมหลุดออกไป จะทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขน เป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาสิว ฝ้า ได้ โดยปกติ หากจะขัดหน้า ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือตามแต่สภาพผิว
**มีสูตรขัดผิวด้วยวิธีธรรมชาติ*** มาฝากค่ะ
ส่วน ผสมหาได้ง่ายแสนง่าย ให้ใช้น้ำตาลทรายแดงและโยเกิร์ต โดยนำส่วนผสมใส่รวมกันและคนให้ละลาย แล้วนวดเบา ๆ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

ถ้าหากต้องการกำจัดสิวเสี้ยนให้ออกอย่างหมดจดทั้งใบหน้า และทำให้รูขุมขนเล็กลงและช่วยดูดซับน้ำมันได้อย่างดี ก็ต้องวิธีการมาร์คหน้า
และวิธีการมาร์คหน้าที่ถูกวิธี....
1.ให้ใช้ไอน้ำร้อนเพื่อช่วยเปิดรูขุมขน
2.มาร์คหน้าทิ้งไว้ แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
3.ล้างหน้าด้วยน้ำเย็น หลาย ๆ ครั้งเพื่อปิดรูขุมขน

*** ข้อควรระวังในการมาร์คหน้า***
หลังมาร์คหน้า ห้ามกดหรือบีบสิว และหมั่นขจัดน้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพอยู่เสมอ
****************************************************
เคล็ดลับหุ่นเพรียวสวย ทั้งการกิน ออกกำลังกาย
เคล็ดลับดูแลผม สวยสวย มีน้ำหนัก ไม่แห้งเสีย
รวมเคล็ดลับการดูแลผิว ด้วยผัก ผลไม้ สมุนไพร
นานาเคล็ดลับสำหรับผู้หญิง เรื่องผู้หญิง ๆ
เคล็ดลับการแต่งหน้า สวยโดยไม่ต้องทำศัลยกรรม
สำหรับคนชอบดูดวง ตรวจดวงชะตาตลอดกาล ทุกรูปแบบ
นานาเมนูสำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปลอดภัย และถูกวิธี แคลอรี่ต่ำ
เทคนิควิธีการอ่านนิสัยคน จากสิ่งรอบตัว
รวมสูตรบำรุงผิวสวยจากผักและผลไม้
รวมสูตรการทำทาร์และพาย สำหรับผู้เริ่มต้นจนถึงระดับอาชีพ
นานาเมนูสำหรับการลดน้ำหนัก ที่ปลอดภัย และถูกวิธี แคลอรี่ต่ำ
ศูนย์รวมเทคนิคการออกกำลังกาย เพื่อการลดน้ำหนัก


ขอบคุณแหล่งที่มา : http://women.sanook.com/