วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

โรคอารมณ์สองขั้ว (Bi poalr)








โรคอารมณ์สองขั้ว  เป็นอย่างไร?

                โรคอารมณ์สองขั้วหรืออีกชื่อคือโรคอารมณ์แปรปรวน
บางครั้งอาจใช้ชื่อทับศัพท์ ว่าโรคไบโพล่าร์ คือ คนไข้มีอารมณ์ที่
ผิดปกติ ไม่ว่าจะซึมเศร้าหรือร่าเริงเกินเหตุทั้งระดับความรุนแรง
และระยะเวลาจนก่อให้เกิดผลกระทบ โดยแสดงความผิดปกติทางคำพูด
ความคิด ร่างกายและพฤติกรรม ถึงขั้นที่ผู้ป่วยรู้สึกว่ารบกวนจิตใจตนเอง
มีอาการเครียด คิดมาก หรือรบกวนผู้อื่นและสังคม จนส่งผลกระทบทั้งด้าน
การเรียน การงาน ความรักหรือการสังคม  โรคนี้พบได้บ่อยแต่ยังไม่เป็นที่

รู้จักเพราะคนไข้มักไม่ได้เปิดเผยเอง  
                แพทย์อาจอธิบายกับผู้ป่วยว่าเป็น “โรคจิต” “อารมณ์แปรปรวน”
  “เครียด” “คิดมากไปเอง” ครอบครัวมองว่าผู้ป่วยเสแสร้งแกล้งเป็นบ้า
เพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือผีเข้า หรือถูกของต้องไสยศาสตร์ เป็นต้น
ผู้ป่วยช่วงที่ป่วยจะคล้ายคนนิสัยไม่ดี ก้าวร้าว ไม่รับผิดชอบ เอาแต่สนุก
และก่อกวนชาวบ้าน บางรายอาจเป้นคดีความ แต่ก็เป็นจากความป่วย


ถ้าเป็นโรคนี้จะมีอาการอย่างไรบ้าง?
               
โรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar disorders) คือ มีอาการเมเนีย (คลุ้มคลั่ง) 
ภาวะซึมเศร้ารุนแรง โดยส่วนใหญ่จะมีอารมณ์ซึมเศร้าแล้วเปลี่ยนเป็นเมเนีย จำแนกตามอาการเป็น          
                s     ภาวะเมเนีย (Mania)เป็นขั้วของอารมณ์สนุกคึกคักเกินเหตุ  พบว่าในผู้ป่วยบางรายอาจจะ
ไม่แสดงออกมาเป็นความร่าเริงหรือสนุกสนาน แต่กลับมีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว แปรปรวน
เดี๋ยวอารมณ์ดี ร่าเริง เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นอารมณ์โศกเศร้า ร้องห่มร้องไห้ในระยะเวลาสั้นๆ
เมื่อมีคำพูดหรือเหตุการณ์มาจี้จุดให้สะเทือนใจ เหมือนอาการสติแตก อาละวาด
ทำลายข้าวของหรือทำร้ายคนอื่นได้  อาการอื่นๆ ได้แก่ 

1.        มีกิจกรรมเพิ่มขึ้น ขยันทำนั่นทำนี่ไม่หยุด แต่ไม่ค่อยได้ผลงาน เพราะใจวอกแวกหันเห
ความสนใจได้ง่าย สนใจเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมหรือการเมือง การศาสนามากจนเป็นที่ผิดสังเกต
เช่น เที่ยวเก่ง ใช้เงินเก่ง แจกเงินแจกสิ่งของ หรือโทรศัพท์รบกวนญาติมิตรบ่อยๆ วันละสิบๆ
ครั้งอย่างไม่เหมาะสม ผู้ป่วยยังไม่รู้สึกง่วง อาจนอนไม่หลับได้หลายๆ วันโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
2.        มีกิจกรรมหรือมีความสนใจทางเพศมากขึ้น มีอารมณ์เพศสูงขึ้น และควบคุมตนเองไม่ได้
ทำให้แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เกิดผลกระทบตามมาได้มาก เช่น การตั้งครรภ์หรือติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์
3.        นิสัยเปลี่ยนจากเงียบขรึม พูดน้อยกลายเป็นคนช่างคุย ชอบสังคมผิดเป็นคนละคน พูดคุยเสียงดัง
พูดมาก พูดไม่หยุดจนเสียงแหบแห้ง
4.        มั่นใจตนเองสูง จนขาดความยับยั้งชั่งใจ กระทำในสิ่งที่เป็นภัยอันตราย เช่น ขับรถเร็ว
กลายเป็นคนไม่รู้กาลเทศะ ไม่เกรงใจใคร เอาแต่ใจ เรียกร้องต้องการ ทำตัวเหนือผู้อื่น
หรือจุ้นจ้านวุ่นวาย แม้กับคนแปลกหน้า คุยโม้โอ้อวดตนเอง ฮึกเหิม และก่อเรื่องทะเลาะวิวาท
ทำร้ายผู้อื่นหรือถูกทำร้ายได้เพราะไม่มีใครตระหนักว่าป่วย 

                s     ภาวะซึมเศร้า  จำแนกเป็น
                        -       ภาวะซึมเศร้ารุนแรง  ผู้ป่วยจะมีสีหน้าเคร่งเครียด ขรึม เศร้าซึม อ่อนเพลีย
อ่อนไหวร้องไห้ง่าย ท้อแท้ หดหู่ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีความสุข ลังเลใจตัดสินใจยาก รู้สึกเหมือนทำผิดบาป
หมดหวังในชีวิตจนคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา อาการมักเห็นชัดเจนหรือพฤติกรรม
เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวลาเมเนีย
                        -       ภาวะซึมเศร้าไม่รุนแรง มีอาการซึมเศร้าระดับไม่รุนแรง มักจะคิดมาก
อารมณ์อ่อนไหว น้อยใจง่าย ขาดความมั่นใจ ลังเลใจ รู้สึกไม่มีความสุข แต่อาการไม่เห็นเด่นชัด
คนรองข้างไม่เห็นความผิดปกติ

 
โรคอารมณ์สองขั้วนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
                สาเหตุของโรคอารมณ์สองขั้ว  ก็เช่นเดียวกับโรคทางจิตอื่นๆ ที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน
เชื่อว่าสาเหตุมาจากปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกันทั้งด้านชีวภาพ จิตใจ และสังคม
ปัจจุบันมีหลักฐานที่สนับสนุนว่ามีการทำงานที่ผิดปกติของสมองส่วนลิมบิก
ซึ่งควบคุมอารมณ์เสมือนมีการชักทางอารมณ์ แทนที่จะชักกระตุกตามร่างกาย
กลับทำให้อารมณืแกว่งขึ้นลงรุนแรง โรคนี้ตอบสนองดีต่อยากันชักด้วยเช่นกันเพราะมีปัญหาในสมองคล้ายคลึงกัน

 
โรคอารมณ์สองขั้ว รักษาหายได้?
การรักษาโรคนี้คือ
                1.     การใช้ยากลุ่มควบคุมอารมณ์ เช่น ยาลิเทียมคาร์บอเนต ยาควบคุมการชัก
หรือยารักษาอาการโรคจิต ส่วนใหญ่จำเป็นต้องรับประทานยาไปนานหลายปี เนื่องจากเป็นโรคที่เรื้อรังและ
กำเริบได้บ่อย เมื่อเป็นครั้งแรกมีโอกาสกำเริบถึงร้อยละ 60-80 ในเวลา 5 ปีต่อมา
                2.     จิตบำบัด นิยมใช้จิตบำบัดแบบประคับประคอง แนะแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุง
สภาพแวดล้อม บุคลิกหรือทักษะการมีความสัมพันธ์ที่ดีและครอบครัวบำบัด 
พบว่าการรักษาด้วยจิตบำบัดปรับปรุงแก้ไขสภาพสังคมหรือปัญหาความขัดแย้งร่วม
ไปด้วยและช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง จะลดอัตราการกำเริบของโรคได้มาก
ความเข้าใจของครอบครัวและคนรอบข้างเป็นเรื่องสำคัญ เพราะโรคนี้ดูเผินๆ คล้ายคนปกติ
ยังพูดจารู้เรื่อง ในระหว่างที่คนไข้มีอาการอาจสร้างปัญหาให้ทางบ้านได้อย่างมโหฬาร
ญาติและคนใกล้ชิดควรยอมรับ เห็นใจและช่วยดูแลรักษาในช่วงที่คนไข้ดูแลตนเองได้ไม่ดี

 เครดิต http://www.cumentalhealth.com 

ขอบคุณแหล่งที่มา : http://women.postjung.com/1149.html

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เทคนิคการแต่งตัว อำพรางรูปร่าง


แต่งตัว
ไม่ต้องเป็นสไตลิสต์มืออาชีพหรือมีรูปร่างสวยเพอร์เฟกต์ คุณก็สามารถจัดการกับตัวเองให้ดูดีขึ้นได้ ด้วยการทำตามขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ได้ไม่ยาก เริ่มจากเปิดตู้เสื้อผ้าเคลียร์ชุดที่ไม่ใช่แล้วเกิน 2 ปีออกให้หมด แล้วอย่าซื้ออะไรเกินความจำเป็นเพียงเพื่อไว้ใส่สำหรับอนาคต ต่อจากนี้เลือกเสริมบุคลิกภาพให้เหมาะกับสรีระของคุณ
  สาวอกใหญ่
 พยายามใส่เสื้อคอ V หรือเสื้อคอกว้างในขนาดพอดีตัวอย่าให้คับหรือหลวมจนเกินไป
 ห้ามใส่เสื้อคอเต่าหรือเสื้อที่ปิดคอมิดชิด และพยายามหาเสื้อที่ตกแต่งระบายหรือมีกระเป๋าตรงช่วงหน้าอกเพื่อพรางรูปร่างให้ดูสมส่วน
 สาวช่วงขาสั้น
 ควรเลือกใส่เสื้อที่มีความยาวแค่ระดับเอว
ใส่กางเกงที่ยาวถึงแค่ข้อเท้าหรือเป็นทรง Cropped แทนที่กางเกงขายาว
 ควรใส่กระโปรงสั้นเพื่อที่จะโชว์ให้เห็นสรีระช่วงขาคุณยาวมากขึ้น  
  สาวสะโพกใหญ่
 เลือกใส่กางเกงยีนส์หรือกางเกงผ้าทรงขาบาน ช่วยทำให้สะโพกคุณดูบาลานซ์สมส่วน
 อย่าสวมกางเกงที่มีกระเป๋าด้านหลังเล็ก เพราะจะยิ่งทำให้สะโพกใหญ่กว่าเดิม
 อย่าใส่กางเกงสีขาว สีอ่อนรวมถึงทรงเอวสูงเป็นอันขาด
 สาวที่รู้สึกว่าตัวเองอ้วนมากเกินไป
 จำไว้ว่าเสื้อผ้าสีเข้มก็ช่วยพรางรูปร่างคุณให้ดูดีได้เช่นเดียวกับสีดำ
 สวมเครื่องประดับสีสว่างและแวววาว เพื่อเบนจุดเด่นจากเรือนร่างขนาดโอเวอร์ไซส์ของคุณ
 สวมเสื้อคลุมแขนยาวที่มีลายทางตรงทำให้ดูหุ่นสลิมขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
ขอบคุณแหล่งที่มา : http://women.mthai.com/beautytipandtrick/90963.html

ภูมิแพ้(Allergy)





โรคภูมิแพ้ หรือโรคแพ้  หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอาการไวผิดปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถก่อให้เกิดภูมิแพ้ (Allergen ) ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป  โรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย  เด็กอายุ ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยกว่าช่วงอายุอื่น ๆ  เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรคแสดงออกหลังจากได้รับ “สิ่งกระตุ้น”  มานานเพียงพอ อย่างไรก็บางคนอาจเริ่มเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ โรคภูมิแพ้นั้นมิใช่โรคติดต่อ แต่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากรุ่นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย  คุณพ่อคุณแม่  มาสู่ลูกหลานได้ อาจพบว่าในครอบครัวนั้นมีสมาชิกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้หลายคน ตัวการที่ทำให้เกิดอาการแพ้ เรียกกว่า สารก่อภูมิแพ้ (Allergens) หรือ สิ่งกระตุ้น ซึ่งอาจเข้าสู่ร่างกายทางระบบหายใจ  การรับประทานอาหาร การสัมผัสทางผิวหนัง  ทางตา  ทางหู  ทางจมูก  หรือโดยการฉีดหรือถูกกัดต่อยผ่านผิวหนัง  ตัวการที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้มีอยู่รอบตัวสามารถกระตุ้นอวัยวะต่าง ๆ  จนก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น
ทางลมหายใจ 
ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางอาหาร  จะทำให้ท้องเสีย  อาเจียน  ถ่ายเป็นเลือด  เสียไข่ขาวในเลือด  อาจทำให้เกิดอาการทางระบบอื่น ถ้าสิ่งกระตุ้นผ่านเข้ามาทางลมหายใจ  ตั้งแต่รูจมูกลงไปยังปอด ก็จะทำให้เป็นหวัด คัดจมูก จาม น้ำมูกไหล คันคอ เจ็บคอ ไอ มีเสมหะเสียงแหบแห้ง และลงไปยังหลอดลม ทำให้หลอดลมตีบตัน เป็นหอบหืด
ทางผิวหนัง ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางผิวหนัง จะทำให้เกิดผื่นคัน  น้ำเหลืองเสีย
ทางอาหาร ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางอาหาร  จะทำให้ท้องเสีย  อาเจียน  ถ่ายเป็นเลือด  เสียไข่ขาวในเลือด  อาจทำให้เกิดอาการทางระบบอื่น ๆ ได้ 
ทางตา ถ้าสิ่งกระตุ้นเข้ามาทางตา จะทำให้เกิดอาการแสบตา คันตา หนังตาบวม น้ำตาไหล 

สารก่อภูมิแพ้ที่พบทั่ว ๆ ไป
สารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็น ตัวการ” ของโรคภูมิแพ้ ที่มักพบบ่อย ๆ ได้แก่
ฝุ่นบ้าน ตัวไรฝุ่นบ้านมักปะปนอยู่ในฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 0.3 มม.  มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า 
เชื้อรามักปะปนอยู่ในบรรยากาศ ตามห้องที่มีลักษณะอับชื้น
อาหารบางประเภทอาหารบางอย่างจะเป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวก อาหารทะเล   อาหารประเภทหมักดอง เด็กบางคนอาจแพ้เห็ดซึ่งจัดว่าเป็นราขนาดใหญ่ เด็กบางคนแพ้ไข่ขาว  อาจทำให้เกิดอาการผื่นคันบนใบหน้าได้  บางคนอาจจะแพ้ผลไม้จำพวกที่มีรสเปรี้ยวจัด  กลิ่นฉุนจัด 
ยาแก้อักเสบยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย ๆ นั้นได้แก่ ยาปฏิชีวะนะ  พวกเพนนิซิลลิน  เตตราไซคลิน นอกจากนั้นยังมีพวกซัลฟา  ยาลดไข้แก้ปวดพวกแอสไพริน  ไดไพโรน  ยาระงับปวดข้อปวดกระดูก อาจทำให้เกิดลมพิษผื่นคันของผิวหน้า 
แมลงต่าง ๆ เช่น  แมงมุม  มด  ยุง  ปลวก  ผึ้ง แตน   มดนานาชนิด เป็นต้น
เกสรดอกหญ้า ดอกไม้ ดอกข้าว วัชพืชสิ่งเหล่านี้มักปลิวอยู่ในอากาศตามกระแสลม ซึ่งสามารถพัดลอยไปได้ไกล ๆ  หรืออาจเป็นลักษณะขุย ๆ  ติดตามมุ้งลวดหน้าต่าง เกสรดอกหญ้า ที่ปลิวมาตามสายลม 
ขนสัตว์เช่น ขนแมว  ขนสุนัข  ขนนก  ขนเป็ด  ขนไก่  ขนนกหรือขนเป็ด ขนไก่ที่ตากแห้งใช้ยัดที่นอนและหมอน 
การสอบประวัติและวิเคราะห์โรค 
แพทย์จะทำการสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว เช่น บ้าน รถยนต์ โรงเรียน งานอดิเรก เพื่อเป็นแนวทางที่จะทราบว่าผู้ป่วยมีอาการ ณ สถานที่ใดได้บ้าง 
ทดสอบทางผิวหนัง 
แพทย์จึงใช้วิธีทดสอบทางผิวหนัง ( Skin Tests ) ซึ่งวิธีนี้จะนำเอาน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้ทางอ้อม  โดยนำน้ำสกัดของสารก่อภูมิแพ้มาหยอดลงบนผิวหนังบริเวณท้องแขน ซึ่งทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์  น้ำสกัดนั้นมาจากสารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย ๆ เมื่อหยอดน้ำสกัดบนท้องแขนแล้ว ใช้ปลายเข็มที่สะอาดกดลงบนผิวหนังเพื่อให้น้ำยาซึมซับลงไป แล้วทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ตุ่มใดที่ผู้ป่วยแพ้ ก็จะเป็นรอยนูนคล้ายรอยยุงกัด แพทย์จะทำการวัดรอยนูนและรอยแดงของแต่ละตุ่มที่ปรากฏ  ซึ่งทำให้ทราบได้ทันทีว่าเจ้าตัวเล็กแพ้สารใดบ้าง ตุ่มใดที่ไม่แพ้ก็จะไม่มีรอยนูนแดง สำหรับวิธีทดสอบทางผิวหนังทำได้ตั้งแต่เจ้าตัวเล็กอายุได้ไม่กี่เดือนจนถึงเป็นผู้ใหญ่ซึ่ง ก่อนที่ผู้ป่วยจะทำการทดสอบ ต้องหยุดรับประทานยาแก้แพ้จำพวกยาด้านฮิสตามีนก่อนการทดสอบอย่างน้อย 48ชั่วโมง มิฉะนั้นฤทธิ์ยาแก้แพ้จะไปบดบัง ทำให้หาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ไม่พบ
วิธีการรักษาโรคภูมิแพ้ 
โรคภูมิแพ้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกระบบของร่างกาย บางคนอาจมีอาการภูมิแพ้ในระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบ โรคภูมิแพ้นั้นเป็นโรคที่สามารถพิสูจน์หาสาเหตุของโรค และสามารถรักษาให้หายได้ ผู้ป่วยบางคนเริ่มจากอาการแพ้อากาศเรื้อรัง เยื่อจมูกอักเสบ เมื่อไม่ได้ใส่ใจรักษา ต่อมาอาจกลายเป็นโรคหอบหืด โรคผื่นคันผิวหนัง เช่น เป็นลมพิษ ปวดศีรษะเรื้อรัง โรคอ่อนเพลียต่าง ๆ เป็นต้นบางคนเชื่อว่า ถ้าเด็กเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้นอาจหายไปเองได ้และไม่จำเป็นต้องรักษาอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนักเพราะโรคนี้อาจทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า การปรับตัวเข้ากับสังคมเพื่อน ๆ และสภาพแวดล้อมได้ไม่ดี เกิดปมด้อย อาจขาดความมั่นใจส่วนเด็กที่แพ้อากาศ ถ้าไม่รักษาต่อมาก็อาจกลายเป็นโรคหอบหืดที่มีอาการของโรคแรงขึ้นเรื่อย ๆ

หาต้นเหตุและหลีกเลี่ยงสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ 
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้ทีดีที่สุด คือการค้นหาสาเหตุของการแพ้นั้นให้พบ เช่น การสอบถามประวัติและอาการของโรค พร้อมทั้งวิเคราะห์สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัว  เช่น บ้าน รถยนต์ โรงเรียน สัตว์เลี้ยง งานอดิเรก ตรวจร่างกายและทดสอบทางผิวหนัง เมื่อทราบว่าแพ้สารใดแล้ว ควรหลีกเลี่ยงสารที่ให้เกิดภูมิแพ้ที่ถูกต้องและอาการของโรคภูมิแพ้ก็จะทุเลาในทางปฏิบัตินั้นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้นั้นทำได้ยาก เพราะชีวิตประจำวันนั้นต้องเผชิญกับสารก่อภูมิแพ้กระจายอยู่รอบ ๆ ตัว เช่นฝุ่นบ้าน ไรฝุ่น เชื้อรา และอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้การรักษาอาการของโรคอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าจึงเป็นสิ่งจำเป็นและได้มักจะได้ผลดี แพทย์อาจให้รับประทานยาแพ้แพ้ แก้หอบ แก้ไอร่วมด้วย เป็นต้น
ฉีดวัคซีนให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทาน 
มีวิธีการรักษาโรคภูมิแพ้อีกประการหนึ่งที่เป็นการรักษาได้ผลดีพอสมควร ได้แก่การหาสาเหตุของโรคภูมิแพ้ให้พบแล้วนำสารก่อภูมิแพ้ที่ตรวจพบนี้นำมาผลิตวัคซีนให้ผู้ป่วย เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานสารที่แพ้ ( อิมมูโนบำบัด ) คือ รักษาให้ร่างกายเกิดภูมิต้านทานสารที่แพ้ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การรักษาเพื่อ ลดภูมิไว คือให้ร่างกายลดความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดโรค


ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.ruamphat-ts.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=486830
ไซนัส
Sinusitis


 
ลักษณะทั่วไป
ไซนัส (sinus)  หมายถึง โพรงอากาศเล็ก ๆ ในกะโหลกซึ่งอยู่รอบ ๆ จมูกและมีทางเชื่อมต่อกับโพรงจมูก ดังนั้น จึงอาจมีเชื้อโรคลุกลามจากโพรงจมูกเข้าไปในโพรงไซนัสได้ ตามปกติทางเชื่อมดังกล่าวจะเปิดโล่งให้มีการระบายของน้ำเมือกที่สร้างขึ้นในโพรงไซนัสได้สะดวกจึงไม่เกิดการอักเสบ แต่ถ้าหากทางเชื่อมดังกล่าวเกิดการอุดตันขึ้นมา (เช่น เป็นหวัด ผนังกั้นจมูกคด มีเนื้องอกในรูจมูก ได้รับบาดเจ็บ นั่งเครื่องบิน หรือดำน้ำ) น้ำเมือกในโพรงไซนัสไม่สามารถระบายได้ ก็จะทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในโพรงไซนัส สามารถเจริญงอกงามทำให้เกิดการอักเสบ และเป็นหนองขังภายในโพรงไซนัสได้


สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ ที่พบบ่อย ได้แก่ บีตาสเตรปโตค็อกคัสสแตฟฟีโลค็อกคัสนิวโมค็อกคัสฮีโมฟิลุส,อินฟลูเอนซา นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการลุกลามของเชื้อโรค จากบริเวณรากฟันที่เป็นหนองเข้าไปในโพรงไซนัสโดยตรงก็ได้ ไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย มักพบเป็นโรคแทรกซ้อนของไข้หวัดหวัดจากการแพ้เยื่อจมูกอักเสบเนื้องอกในรูจมูกผนังกั้นจมูกคด,รากฟันเป็นหนอง

อาการ
ปวดมึน ๆ หนัก ๆ ตรง บริเวณหัวตา หน้าผากโหนกแก้มหรือรอบ ๆ กระบอกตา บางคนอาจรู้สึกคล้ายปวดฟัน บริเวณขากรรไกรบน อาการปวดอาจเป็นมากในเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า ผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว เจ็บคอ มีเสลดเหลืองหรือเขียวในลำคอ และอาจหายใจมีกลิ่นเหม็น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มักมีไข้ร่วมด้วย


 

สิ่งตรวจพบ
เยื่อจมูกบวมแดง คอแดงเล็กน้อย ที่สำคัญจะพบว่า ถ้าเคาะหรือกดแรง ๆ ตรงบริเวณหัวตา หน้าผาก หรือใต้ตาจะรู้สึกเจ็บ อาจมีไข้ (ในรายที่เป็นเฉียบพลัน)

อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นหูชั้นกลางอักเสบ , หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ฝีรอบกระบอกตา (Periorbital abscess), เยื่อกระดูกอักเสบ (Osteomyelitis)ภ าวะแทรกซ้อน ที่ร้ายแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง

การรักษา
1. ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ ยาแก้คัดจมูก อาจช่วยลดการบวมของเนื้อเยื่อที่อักเสบ ซึ่งจะช่วยถ่ายเทหนอง ส่วนยาแก้แพ้  ไม่ควรให้ อาจทำให้น้ำเมือกในโพรงไซนัสเหนียว ถ่ายเทออกได้ไม่ดี ยกเว้นในรายที่มีอาการของภูมิแพ้มาก เช่น จาม มีน้ำมูกมาก อาจให้เพียง 2-3 วัน เพื่อบรรเทาอาการ
2. ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน , อีริโทรไมซิน   หรือ โคไตรม็อกซาโซล   ปกติอาการจะทุเลาหลังกินยา 2-3 วัน ควรให้กินติดต่อกันนาน 10-14 วันในรายที่เป็นเรื้อรัง ขณะที่มีอาการกำเริบ ควรให้ยาปฏิชีวนะนาน 3-4 สัปดาห์ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือกำเริบบ่อย ควรส่งโรงพยาบาลทุ่งสงรวมแพทย์ เพื่อตรวจเอกซเรย์ไซนัส ถ้ามีหนองขังอยู่อาจต้องทำการเจาะล้างโพรงจมูก ในรายที่เป็นมาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด


ข้อแนะนำ
1. ขณะที่มีอาการกำเริบ ควรงดว่ายน้ำ ดำน้ำ ขึ้นเครื่องบิน ประมาณ สัปดาห์
2. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง แต่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือแก้ไขสาเหตุ เช่น ผนังกั้นจมูกคด
3. ไม่ควรรักษากันเองตามแบบพื้นบ้าน เช่น ใช้สารกรดบางอย่าง หยอดเข้าจมูก(ทำให้มีน้ำมูกไหลออกมามาก เพราะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อจมูก) อาจทำให้เกิดการอักเสบ และจมูกพิการได้
4. ระวังอย่าให้เป็นหวัดบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คัดจมูกหรือจาม (เช่น ฝุ่น อากาศเย็น ขนสัตว์)และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ


ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.ruamphat-ts.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=486553

อาหารที่จะก่อไมเกรน



ไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่สร้างความรำคาญ ทรมานให้กับผู้ป่วย โดยจะมีตั้งแต่ระดับปานกลางไปจนถึงมากจนกระทบกับการดำรงชีวิตประจำวัน อาจจะมีอาการปวดตุ๊บ ๆ แถวขมับ หรืออาจจะจะปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บ ๆ ที่ปวดน้อย ๆ มักจะไม่ใช่ไมเกรน 


อาการปวดไมเกรนอาจจะปวดได้นาน 2-3 วันหรืออาจจะปวด 2-4 ชั่วโมง และอาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน อาการปวด ไมเกรน เวลาหายปวดจะหายสนิท 

อาการปวดไมเกรน มักจะมี อาการนำ มาก่อนที่จะเกิดอาการปวด เรียก Aura อาจจะเห็นแสงแวบ แสงจ้า ตาพร่ามัว ซึ่งเป็นช่วงสั้น ๆ ก่อนจะมีอาการปวด ไม่แน่เสมอไปที่ว่าอาการปวดหัวข้างเดียวคืออาการปวด ไมเกรน อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น คอตกหมอน เนื้องอก เป็นต้น 

 ส่วน อาหารนำไมเกรน ได้แก่ อาหารที่มีสารประกอบอะมิโนกลุ่มที่ลงท้ายชื่อด้วย อามีน (amine) ซึ่งมีปฏิกิริยาให้หลอดเลือดขยายและหดตัว เนยแข็งโดยเฉพาะบลูชีส ช็อกโกแลต มีฟินีลเลทธีลามิน (Phenylethylamine) เป็นตัวนำไมเกรน ผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ซึ่งมีเซเนพรีน (Synephrine) และออกโตพามีน (Octopamine) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่มีฮิสตามีน (Histamine) นอกจากนี้ ผงชูรส ก็เป็นตัวนำไมเกรนของหลายคน อาหารรมควันและหมักดอง เช่น ฮอตดอก เบคอน แฮม ไส้กรอก เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน ฯลฯ ซึ่งเป็นอาการแพ้เฉพาะปัจเจกชน 

 อาหารปลอดไมเกรน ได้แก่ ข้าวกล้อง ผลไม้ตากแห้งเช่นลูกพรุน ลูกเกด เชอร์รี่ ฯลฯ ผักปรุงสุก เช่น คะน้า บร็อคโคลี ปวยเล้ง ผักโขม ถั่ว เผือก มันเทศ มันสำปะหลัง และฟัก เป็นต้นอาหารช่วยให้อาการไมเกรนดีขึ้น แมกนีเซียม หลายงานวิจัยที่พบว่าคนที่เป็นไมเกรนมีระดับธาตุแมกนีเซียมในร่างกายต่ำกว่าปกติ 

พืชตระกูลกัวราน่า จะไปขยายหลอดเลือดและหลอดลม ช่วยให้มีการจับออกซิเจนให้กระแสเลือดให้ดีขึ้นระบบการทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ทำให้มีออกิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้นด้วย และไมเกรนก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายไปในที่สุด 

 ควรหมั่นสังเกตให้ดีว่าตัวเองแพ้อาหารชนิดใด แล้วหลีกเลี่ยงอาหารนั้นเสีย และควรหลีกเลี่ยงปัจจัยนำที่ทำให้เกิดไมเกรนด้วยวิธีธรรมชาติ เช่นนี้จะช่วยให้อาการปวดไมเกรนถอยห่างออกไป



8 ขั้น ในการเลิกบุหรี่ !!

ในวันที่ 31 พฤษภาคม กำหนดให้เป็นวันงดบุหรี่โลก ในวันนี้เองที่ผู้สูบบุหรี่จำนวนหนึ่ง ถือเป็นวันดีเดย์ สำหรับการเลิกบุหรี่อย่างถาวร ใครที่กำลังคิดเช่นนั้นเรามีข้อแนะนำในการเตรียมตัวสำหรับวันนั้นครับ แต่ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริง เกี่ยวกับบุหรี่ และการเลิกบุหรี่กันก่อนนะคะ


ทำไมการเลิกบุหรี่ถึงเป็นเรื่องยาก
เหตุที่ทำให้การเลิกบุหรี่เป็นเรื่องยากนั้น มีสาเหตุที่สำคัญ 2 อย่างคือ
การติดเพราะร่างกายต้องการ หรือ Psysical Addiction
การติดเพราะสูบจนเป็นนิสัย หรือ Psychological Addiction หรือเรียกง่าย ๆ
ว่าเป็นHabit จริง ๆ แล้ว การติดบุหรี่ของคนเรา มักจะประกอบไปด้วยทั้ง 2องค์ประกอบข้างต้น
ดังนั้นการเลิกบุหรี่ จึงจำเป็นต้องกำจัดสาเหตุทั้งสองอย่างออกไปให้ได้พร้อม ๆกัน
ข้อเท็จจริงของการติดที่เรียกว่า Psysical Addiction
ภายในเวลาเพียงแค่ ถึง 10 วินาที ที่เราสูบบุหรี่ สาร Nicotine
ก็จะเริ่มส่งผลกระทบต่อสมองของเราโดยทันที ทำให้เราเกิดความรู้สึกพึงพอใจ กระฉับกระเฉง ขึ้นมาทันที

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป 30 นาที Nicotine ก็จะสลายออกไปจากร่างกายเราหมด และเมื่อนั้น ความรู้สึกเหนื่อย กระสับกระสาย และ เครียดก็จะเข้ามาแทนที่ จนต้องสูบมวนใหม่ และความต้องการนั้นก็จะเพิ่มปริมาณ และความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นอาการติดไปในที่สุด

 ข้อเท็จจริงของการติดที่เรียกว่า Psychological Addictionหรือ Habitข้อนี้ ลองถามตัวเองดูว่า บุหรี่ มีความสำคัญกับชีวิตประจำวันของคุณมากแค่ไหนสาเหตุของการติดในลักษณะนี้ อธิบายง่าย ๆ ตามหลักการของ Ivan Pavlov ในทฤษฎีที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า “หมาได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วน้ำลายไหล เพราะคิดว่าจะได้อาหาร” กล่าวคือ ได้มีการทดลอง นำกระดิ่งมาสั่นทุกครั้งก่อนที่จะให้อาหารสุนัข สุนัขก็จะรับรู้ว่า เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเสียงกระดิ่ง จะได้อาหารและเมื่อกระดิ่งดังขึ้น สุนัขก็จะน้ำลายไหล แม้ว่าการสั่นกระดิ่งในครั้งนั้น จะไม่มีอาหารให้ก็ตาม เพราะสุนัขเรียนรู้ว่า “เอาหละ เมื่อเสียงกระดิ่งดังขึ้น ฉันจะได้อาหารแล้ว

ทีนี้มาลองเปรียบเทียบกับคนติดบุหรี่ เราจะเห็นได้ว่า คนติดบุหรี่นั้นมักจะมีพฤติกรรมบางอย่างที่มาควบคู่ไปกับการสูบบุหรี่ เช่น เมื่อขับรถจะสูบบุหรี่ทุกครั้งเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะต้องหยิบบุหรี่สูบ ทีนี้ทุกครั้งที่ขึ้นนั่งบนรถ สมองก็จะสั่งว่า เอาหละฉันขึ้นนั่งบนรถแล้ว ไหนล่ะบุหรี่” แบบนี้เป็นต้น


การเลิกบุหรี่
การเลิกบุหรี่ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ หรือด้วยกระบวนการทางการแพทย์ สามารถ
ช่วยอาการติดแบบ Psysical Addiction ได้ แต่สำหรับ Habit แล้ว ต้องอาศัยกำลังใจ
ความเข้มแข็ง และความตั้งใจจริง ถ้าหากคุณเป็นผู้หนึ่ง ที่คิดจะเลิกบุหรี่
ในวันพรุ่งนี้ วันงดบุหรี่โลก หรือวันไหนก็แล้วแต่ ที่ถือเป็นวันดีสำหรับคุณ
ลองมาปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้ เพราะมันจะช่วยให้คุณ ไม่หวนกลับมาหาบุหรี่อีกเลย

1. ทิ้งบุหรี่ที่คุณมีอยู่ให้หมด หาให้ทั่วว่าคุณอาจจะซุกซ่อนบุหรี่ของคุณเอาไว้ที่ไหน ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง เสื้อแจ็คเก็ต ลินชักโต๊ะทำงาน
โยนทิ้งไม่ให้เหลือแม้กระทั่งมวนเดียว ไม่ว่ามันจะมีราคาแพงแค่ไหนก็อย่าเสียดายเป็นอันขาด
2. ที่เขี่ยบุหรี่ก็ทิ้งไปเสียด้วย กรณีที่เสียดายเพราะมันเป็นเครื่องตกแต่งราคาแพง อาจจะยกให้คนอื่นไปเสีย หรือนำไปเก็บไว้ในที่ ๆ คุณแน่ใจว่า จะไม่มองเห็นหรือหยิบออกมาได้โดยง่าย
3. เปลี่ยนทรงผม จะได้ดูว่า เรากำลังจะเป็นคนใหม่
4. ทำความสะอาดบ้านและเครื่องเรือนทั้งหมด รวมทั้งเสื้อผ้าก็นำมาซักให้สะอาด ให้กลิ่นบุหรี่หมดไป จริงอยู่คนสูบบุหรี่จะไม่ได้กลิ่นเหล่านี้หรอก เพราะความเคยชิน แต่เมื่อเลิกแล้ว คุณจะได้กลิ่นของมัน
5. ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ เพราะมันจะช่วยชำระล้าง Nicotine ออกจากร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการอยากบุหรี่ได้ด้วย
6. ลดปริมาณสาร Caffeine ที่รับประทานในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟก็ตาม โดยก่อนการเลิกบุหรี่ ควรจะพยายามลดปริมาณสารนี้ให้ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่เคยรับประทานในแต่ละวัน เพราะ Nicotine ทำให้caffeine ซึมเข้าร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณรับประทานCaffeine ในปริมาณเท่าเดิม ขณะที่สูบบุหรี่ อาจจะนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่าCaffeine Toxicity โดยมีอาการ กระวนกระวายและเครียดได้ และนั่นอาจจะทำให้คุณหันกลับไปสูบบุหรี่อีกครั้ง
7. ออกกำลังกาย เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้เราเอาใจออกห่างจากบุหรี่ได้ด้วย
8. หาเพื่อนที่มีความต้องการจะเลิกบุหรี่ด้วยกันสักคน แล้วเลิกพร้อมกันเพื่อที่จะได้เป็นที่ปรึกษา คอยเตือนและคอยให้กำลังใจกัน หรืออาจจะเป็นการหาแรงบันดาลใจอื่น เช่น เลิกเพื่อลูก เลิกเพื่อบิดามารดา หรือคนรักก็ได้

หวังว่าทุกท่าน ที่ตั้งใจแน่วแน่ คงเลิกบุหรี่ได้นะคะ


ขอบคุณแหล่งที่มา :http://www.ruamphat-ts.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=507935

ความหมายของธูปที่จุดใช้

          ในช่วงที่เราตกทุกข์ได้ยากหนทางที่คนเรานิยมกันมากคือการออกไปไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวัดวาอารามตลอดจนศาลเจ้าต่างๆ ซึ่งอุปกรณ์สำหรับการไหว้ ก็คงจะหนีไม่พ้น "ธูป" นั้นเอง ซึ่งการจุดธูปก็จะมีจุดตั้งแต่ 1 ดอกไปจนถึง 108 ดอกเลยทีเดียว แล้วทราบกันหรือไม่ ว่าแต่ละดอกที่จุดกันนั้นมันมีความหมายกันอย่างไรบ้าง วันนี้เราจึงนำความหมายของมันมาให้ได้รับรู้กันว่าเป็นอย่างไร


ธุป 1 ดอก ----> วิญญาณธรรมดา ที่ไม่ได้ขึ้นชั้นเทพ
ธูป 2 ดอก ----> ใช้บูชาเจ้าที่เจ้าทาง
ธูป 3 ดอก ----> ใช้บูชาพระรัตนตรัย(พระปัญญาคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระเมตตาคุณ)
ธูป 5 ดอก ----> ใช้บูชาธาตุทั้งห้า หรือทิศทั้งห้า หรือบูชาเสด็จพ่อ ร.5
ธูป 7 ดอก ----> ไหว้พระพรหม บูชาพระอาทิตย์ถือคติคุ้มครองทั้ง 7 วันในสัปดาห์
ธูป 8 ดอก ----> บูชาเทพเจ้าตามความเชื่อของชาวฮินดู
ธูป 9 ดอก ----> บูชาพระพุทธคุณทั้งเก้า และพระเทพารักษ์
ธูป 10 ดอก ----> ใช้บูชาเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา ตามความเชื่อของชาวจีน
ธูป 11 ดอก ----> บูชาพระโพธิ์สัต และสมมุติเทพ
ธูป 12 ดอก ----> บูชาเจ้าแม่กวนอิม บูชากระคุณของแม่
ธูป 16 ดอก ----> บูชาเทพชั้นครู  หรือ พิธีกลางแจ้งที่มีการอัญเชิญเทวดา ที่สำคัญหมายถึงสวรรค์ 16 ชั้น
ธูป 19 ดอก ----> บูชาเทวดาทั้ง 10 ทิศ
ธูป 21 ดอก ----> บูชาพระคุณของพ่อ
ธูป 32 ดอก ----> ใช้สวดชุมนุมเทวดาทั้ง 4 ทิศ
ธูป 108 ดอก ----> บูชาทุกสรรพสิ่งสูงสุดทั่วทั้งโลกทุกชั้นฟ้า


ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.xn--q3ctbz5akd1duhna.com/